ผ้าทอเมืองอุบลฯ
เรียบเรียงโดย สิทธิชัย สมชาติ และบุญชัย ทองเจริญบัวงาม
มรดกภูมิปัญญาทางด้านวัฒนธรรมในเรื่องผ้าทอของจังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางด้านวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ในด้านรูปแบบและลวดลายของผ้าที่ทอขึ้นใช้ในเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ชนชั้นเจ้าเมืองลงมาถึงสามัญชนธรรมดา ตามหลักฐานในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบกลับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
เมื่อครั้งส่งผ้าทอของเมืองอุบลราชธานีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในครั้งนั้น ทรงกล่าวถึง “ผ้าเยียรบับลาว” นับเป็นหลักฐานที่สำคัญว่า เมืองอุบลราชธานีในอดีต ก็มีสิ่งถักทอมากมายหลายชนิดบ่งบอกถึงฐานานุศักดิ์ แบ่งระบบชนชั้นผู้ปกครองได้อย่างชัดเจน ถือเป็นการพัฒนาในด้านรูปแบบและลวดลายของการแต่งกายของผู้คนสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน
ชนิดผ้าทอของเมืองอุบลราชธานี หากจะแบ่งตามชนิดและประเภท สามารถแบ่งได้ ดังนี้:
- ผ้าเยียรบับลาว
- ผ้าซิ่นยกดอกเงิน-ดอกคำ ลายสร้อยดอกหมาก ลายสร้อยพร้าว (ลายจั่นพร้าว) ลายดอกแก้ว (ลายดอกพิกุล)
- ผ้าซิ่นมุก/ซิ่นทิวมุก
- ผ้าซิ่นหมี่คั่น/ซิ่นหมี่น้อย (ลายหอปราสาทลายนาคน้อย ลายจอนฟอน ลายนาคเอี้ย ลายหมากจับ ลายหมี่คองเอี้ย)
- ผ้าซิ่นมัดหมี่ ลายหมี่โคมห้า โคมเจ็ด หมี่ตุ้ม หมวง หมี่นาค หมีหมากจับ หมีหมากบก
- ผ้าซิ่นทิว/ซิ่นช่วย/ซิ่นเครือก๋วย
- ผ้าซิ่นไหมก่อม/ซิ่นไหมเป็นก้อม/ซิ่นสีไพล/ซิ่นตาแหล่
- ผ้าซิ่นหมี่ฝ้าย
- แพรเบี่ยง
- แพรตุ้ม/แพรขิด
- แพรไส้ปลาไหล (แพรไส้เอี่ยน)
- แพรอีโป้ (ผ้าขาวม้าเชิงขิด)
- ผ้าตาโค้ง (โสร่งไหม)
- ผ้าขี้งา
- หมอนขิด
- ผ้าต่อหัวซิ่นชนิดต่างๆ (หัวจุกดาว จกดอกแก้วทรงเครื่อง หัวขีดคั่น)
- ตีนซิ่นแบบเมืองอุบลชนิดต่างๆ (ตีนกระจับย้อย ตีนตวย ตีนขิดปราสาท ตีนขิดดอกแก้ว ตีนช่อ ตีนขิดคั่น)
- ผ้ากาบบัว (ผ้าประจัดจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๔-ปัจจุบัน)
การสืบทอดภูมิปัญญาผ้าทอเมืองอุบลฯ ยังเป็นสิ่งแสดง ทักษะความสามารถของการทอผ้าชั้นสูงของช่างทอ ผ้าเมืองอุบลฯที่ได้ทํางานกับเจ้านายเมืองอุบลฯในท้องถิ่น และลวดลายผ้าหลายอย่างเป็นงานออกแบบความคิด สร้างสรรค์ที่ประยุกต์มาจากลวดลายผ้าในราชสํานัก เช่น ผ้าเยียรบับลาว ที่เจ้านาย เมืองอุบลฯ ผลิตส่งให้ราชสํานัก สยาม และลายตีนซิ่นที่นําลายกรวยเชิงมาประยุกต์เป็นตีนซิ่นแบบเมืองอุบลฯ แสดงถึงสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ ระหว่างศิลปะผ้าราชสํานักไทยและศิลปะผ้าทอเมืองอุบลฯ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านี้เสี่ยงต่อการสูญหายโดยเฉพาะส่วน “คุณค่าความหมายทางประวัติศาสตร์และกระบวนการในการผลิต” ซึ่งการมีส่วนร่วมของ ชุมชนเจ้าของวัฒนธรรมในการวิจัยครั้งนี้ จะมีบทบาทสําคัญในการสืบทอดและสงวนรักษาองค์ความรู้นี้ให้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในขอบเขตประเทศไทยและของโลกงานผ้าทอเมืองอุบลฯ มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ
- ลวดลายผ้าหลายอย่างเป็นงานออกแบบความคิดสร้างสรรค์ที่ประยุกต์มาจากลวดลายผ้าสยาม เช่น ผ้าเยียรบับลาว ที่เจ้านายเมืองอุบลฯผลิตส่งให้ราชสํานักสยาม
- ลายตีนซิ่นที่นําลายกรวยเชิงของลายผ้าในราชสํานักไทย มาประยุกต์ออกแบบเป็นตีนซิ่นแบบเมืองอุบลฯ ด้วยการใช้เทคนิคการทอขิตของอีสาน จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะผ้าราชสํานักและศิลปะผ้าทอเมืองอุบลฯ
- ลายหัวซิ่นที่ใช้การเทคนิคการทอจก ลายดาวที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากผ้าอีสานทั่วไป
- ลายมัดหมี่ของเมืองอุบล จะนิยมการให้ลายละเอียดของลายผ้าแบบ “หมี่สองสอด” ที่เสริมความประณีต ของลายผ้า
- มีการผสมผสานและประยุกต์เทคนิคการทอผ้าจนเกิดเป็นงานผ้าทอใหม่ กรณี “ผ้าซิ่นทิวมุกจกดาว” ที่ผสมเทคนิคการตั้งสีเครือเส้นยืน การทอเสริมเส้นยืนพิเศษ และการจกเสริมเส้นพุ่งพิเศษ ในผืนเดียว จนเป็นงาน ผ้าทอที่เป็นเอกลักษณ์
กลวิธีการผลิตผ้าทอเมืองอุบลฯ
- การทอผ้า ได้แก่ ความรู้ในการทอผ้าเยียรบับลาว นําความคิดสร้างสรรค์ลวดลายผ้าจากผ้าราชสํานักสยาม และการทอด้วยเทคนิคการ “ยก” เทคนิคการ “ขิด” และผสมเทคนิคการ “จก” และมีการใช้อุปกรณ์การทอผ้าช่วยใน การทอ คือ “ตะกอแนวดิ่ง” ในการยกเส้นยืนเพื่อสร้างลวดลายผ้า การจัดองค์ประกอบสีสันที่ซับซ้อนหลายสีเป็นต้น
นอกจากนี้ผ้าไหมคุณภาพสูงของเมืองอุบลฯ ยังรักษา “การตีเกลียวไหมเส้นพุ่ง” หลายครั้งเพื่อเพิ่มความมันวาว และเนื้อผ้าที่สัมผัสละมุนทั้งยังสวยงามตา รวมทั้ง “ทักษะการมัดหมี่เพื่อการทอแบบสองสอด” ที่ช่วยให้สามารถ สร้างสรรค์ลวดลายละเอียดของลายผ้าขนาดเล็กให้สวยงาม เช่น ลายปราสาทผึ้ง ลายนาคน้อย เป็นต้น - การย้อมสีของท้องถิ่น ได้แก่ ความรู้ในการเลือกวัสดุย้อมสีธรรมชาติ จากครั่ง เข คราม การย้อมครามทับ สีเหลืองให้เกิดสีเขียว การย้อมครามทับสีแดงให้เกิดสีม่วง ความรู้ในการใช้ “สารติดสีธรรมชาติ” ที่มีค่าเป็นกรดและ มีค่าเป็นด่าง เป็นต้น
- การเลี้ยงไหม เมืองอุบลฯ มีทักษะในการสาวไหมได้คุณภาพสูงมาก จนได้รับรางวัลการประกวดเส้นไหมของ กรมหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ เกือบทุกปี เป็นความรู้ที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการป้องกันมลพิษ และแมลงที่เป็นอันตรายต่อหนอนไหม ความรู้ในการย่อยใบหม่อนเป็นอาหารแก่หนอนไหม ความรู้ในการกระจาย สัดส่วนหนอนไหมในจ่อเพื่อการสร้างรังไหมที่สมบูรณ์ ความรู้ในการคัดเลือกรังไหมที่สมบูรณ์ทักษะการสาวไหม การควบคุมอุณหภูมิหม้อสาวไหม เป็นต้น
ตามจารีตดั้งเดิมจะถือละเว้นการปฏิบัติที่เป็น “ขะลํา” (ผิดจารีต) ได้แก่
1) จะห้ามไม่ให้ผู้ชายทอผ้าหรือนั่งบน หูก/เครื่องทอผ้า
2) ในระหว่างที่ผู้หญิงทอผ้าหรือเข็นฝ้าย ฝ่ายผู้ชายจะมาแตะเนื้อต้องตัวไม่ได้ ถือว่าเป็น “ขะลำ” (ผิดจารีต) ต้องมีการปรับสินไหม
3) ในการย้อมผ้า ตามความเชื่อดั้งเดิม ในกรณีการย้อมสีครั่ง จะไม่ให้ผู้หญิงที่มี ประจําเดือนเข้าใกล้บริเวณ หรือเป็นผู้ย้อม เพราะสีจะด่างหรือเส้นไหมไม่กินสี/ติดสี ส่วนสีย้อมวัสดุอื่นๆ ไม่มีข้อห้าม
4) จะไม่ย้อมสีผ้าในวันพระ
5) จะไม่สาวไหมในพระ วันศีลอุโบสถ
6) การย้อมสีครามจะไม่ย้อมในวันข้างแรม
7) จะไม่ใช้ผ้าที่มีลวดลายเทียมเจ้านาย
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อความศรัทธาในการใช้ผ้าของชาวเมืองอุบลฯ ได้แก่
1) การใช้ตีนซิ่นของแม่คล้องคอ ในยามที่ไปออกรบ
2) หญิงมีครรภ์จะนําผ้าซิ่นของแม่มาใช้นั่งในเวลาจะคลอดลูก
3) การใช้หัวซิ่นแช่น้ําให้ผู้หญิง ท้องแก่กินจะคลอดลูกง่าย
4) การใช้ตีนซิ่นแม่ตบปากเด็กน้อยจะได้พูดง่าย
กระบวนการจัดการองค์ความรู้
- การเรียนรู้สืบทอดภายในครอบครัวหรือสังคมระดับหมู่บ้านชุมชนพยายามสืบทอดไว้ในระบบเครือญาติ จากรุ่นสู่รุ่น ดั้งเดิมจะต้องเรียนรู้ทุกขั้นตอน เพื่อทําเองทุกขั้นตอนในการทอผ้า ตั้งแต่เลี้ยงไหม สาวไหม เตรียมเส้นใย ในการทอผ้า และทอผ้าเป็นผืน ปัจจุบันช่างทออาวุโสเป็นเสาหลักในการอบรมให้ความรู้แก่รุ่นลูกหลานในชุมชน
- การจัดการแหล่งผลิตชุมชนรักษาทักษะการทอผ้า ที่ช่วยสร้างรายได้เสริม มีการแบ่งงานกันโดยแยกทํา เป็นขั้นตอน เช่น ช่างที่เชี่ยวชาญการเตรียมเส้นไหม ช่างที่เชี่ยวชาญย้อมสีไหม ช่างที่เชี่ยวชาญการทอผ้ามัดหมี่ ช่างทอที่เชี่ยวชาญการทอ “ขิด” การทอ “จก” การทอ “ยก” เป็นต้น
ตัวอย่างผู้สืบทอดการทอผ้าเมืองอุบลฯ ที่สําคัญคือ บ้านคําปุน ซึ่งจัดงาน “นิทรรศการผ้าโบราณและสาธิต การทอผ้า แบบเมืองอุบลฯ” ช่วงเดือนกรกฎาคม ของทุกปี ในช่วงเทศกาลงานแห่เทียนเข้าพรรษา
คุณค่าของผ้าทอเมืองอุบลฯ ในอดีตยึดถือประเพณีที่หญิงสาวจะต้องมีฝีมือในการทอผ้า จึงจะมีคุณสมบัติ พร้อมในการที่เป็นแม่เรือนที่ดี หญิงสาวที่เรียนรู้การทอผ้าตั้งแต่เยาว์วัย จนสามารถทอสานลวดลายอันซับซ้อนของ ผ้าซิ่นมัดหมี่ ผ้าซิ่นทิว ผ้าซิ่นมุก ผ้าหัวซิ่นจกดาว ผ้าเยียรบับลาว และผ้าอื่นๆ ได้งดงาม จึงจะมีคุณสมบัติพร้อมใน การเป็นผู้หญิงและสมาชิกเครือญาติลูกหลานเจ้านายเมืองอุบลที่ดีของตนเอง
การถ่ายทอดความรู้และทักษะการทอผ้าทอเมืองอุบลฯ ปรากฏอยู่ 3 รูปแบบ คือ
1) ถ่ายทอดในครอบครัว ช่างทอผ้ารุ่นปัจจุบันอายุเฉลี่ยประมาณห้าสิบกว่าปี ได้เรียนรู้การทอผ้าจากแม่หรือยายตามแบบปฏิบัติดั้งเดิม
2) ถ่ายทอดในชุมชน ช่างทอผ้ารุ่นอายุประมาณสามสิบกว่าปี ได้เรียนการทอผ้าจากหัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ ทําผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือในจังหวัดอุบลราชธานี และ
3) ถ่ายทอดในระบบการศึกษา เยาวชนได้เรียนรู้การทอผ้าในระบบการศึกษาด้วยการบูรณาการเรียนรู้กับชุมชน โดยเชิญช่างทอผ้าที่เชี่ยวชาญในชุมชน ช่วยเป็นวิทยากร โดยมี การจัดการเรียนการสอนทอผ้าในจังหวัดอุบลราชธานีที่โรงเรียนม่วงสามสิบ อําเภอม่วงสามสิบ โรงเรียนบ้านหนองบ่ออำเภอเมือง เป็นต้น
แหล่งผลิตผ้าทอเมืองอุบลฯ มีดังนี้
- บ้านคําปุน ตําบลในเมือง อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านหนองบ่อ ตําบลหนองบ่อ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านโนนสว่าง ตําบลโนนสว่าง อําเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านลาดสมดี ตําบลกุศกร อําเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านสมพรรัตน์ ตําบลสมพรรัตน์ อําเภอบุญฑริก จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านปะอาว ตําบลปะอาว อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านโนนสว่าง ตําบลโนนสว่าง อําเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
- อําเภอสําโรง จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านทุ่งนาเมือง ตําบลโพธิ์กลาง อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 10. บ้านคันพะลาน ตําาบลนาตาล อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านโพนทราย อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
- บ้านนาชุม อําาเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
- ตําบลจานลาน อ้าเภอพนา จังหวัด านาจเจริญ ผ้าทอเมืองอุบลฯได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจําปีพุทธศักราช 2557
เอกสารอ้างอิง
ณัฏฐภัทร จันทวิช และคณะ, ผ้าพื้นเมืองอีสาน, กรุงเทพฯ: สํานักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากรกระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๐.บําเพ็ญ ณ อุบล, เล่าเรื่อง เมืองอุบลราชธานี, อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ๒๕๔๗สุนัย ณ อุบล และคณะ, ผ้ากับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ไท – ลาว สายเมืองอุบล, กรุงเทพฯ: รายงานการวิจัยสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๗.เอี่ยมกมล จันทะประเทศ, สถานภาพเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๔๗๖. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๓๘.
ขอบคุณแหล่งที่มา: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ