การผลิตผ้าไหมไทยเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญมากของไทย และเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยหรือตรานกยูงพระราชทาน ก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทย โดยตัวเครื่องหมายนี้จะถือเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภครับรู้ได้ว่า ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยที่ซื้อมานั้นมีคุณภาพและถูกผลิตตามมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ นอกจากนี้เครื่องหมายรับรองนี้ยังมีความสำคัญในการส่งเสริมผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักและเชื่อถือได้ทั้งในตลาดประเทศและต่างประเทศ
ความสำคัญของเครื่องหมายรับรอง
เครื่องหมายรับรองนกยูงไทยเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคสามารถแยกแยะได้ว่าผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่ได้รับการรับรองด้วยสัญลักษณ์นี้มีคุณภาพที่มั่นใจ และได้รับการส่งเสริมจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่มีความหมายอย่างสูงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตผ้าไหมไทยให้มีความตั้งใจในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างยั่งยืน ในทางกลับกัน นั้นผู้บริโภคที่ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายรับรองนี้ก็จะรับรองว่าผ้าไหมที่เขาได้รับมามีคุณภาพและความเป็นธรรมชาติตามที่มาตรฐานของไหมไทย นอกจากนี้ เครื่องหมายรับรองนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้บริโภคทั่วไปรู้จักและมีความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของไหมไทยที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศไทยอย่างยิ่ง
การนำเข้าเส้นไหม
ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีการนำเข้าเส้นไหมและเส้นใยสังเคราะห์มาจากต่างประเทศมากมาย ซึ่งในบางครั้งเส้นใยไหมที่นำเข้ามาก็ไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผ้าไหมไทยที่ผลิตขึ้นจากเส้นใยเหล่านี้มีคุณภาพต่ำไม่ได้มาตรฐาน และการผลิตผ้าไหมไทยในปัจจุบันก็ยังคงใช้ตราสัญลักษณ์ด้วยคำว่า “ผ้าไหมไทย” หรือ “Thai Silk” เพื่อการค้า ซึ่งมันอาจทำให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่มั่นใจในคุณภาพของผ้าไหมไทย แต่ในช่วงนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเกิดความสนใจและได้ส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไข
สัมมนาเพื่อคุ้มครองไหมไทย
ในวันที่ 1 มิถุนายน 2545 ถาบันวิจัยหม่อนใหม กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร่วมกันจัดสัมมนาเพื่อเสริมสร้างความรู้และเพื่อกำหนดทิศทางและวิธีการในการคุ้มครองผ้าไหมไทยใหม่ คณะกรรมการจัดสัมมนาได้เชิญนักวิชาการทุกสาขาที่เกี่ยวข้องกับไหม ทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมประชุม โดยได้พิจารณาทั้งด้านพันธุ์ไทย กระบวนการผลิต ชนิดของผ้าไหม และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย ผลจากการสัมมนาระดมสมองในครั้งนี้ และการประชุมของคณะทำงานทำให้ได้ข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองนี้ ซึ่งจัดทำตามบทบัญญัติมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เพื่อให้มีการใช้เครื่องหมายรับรองอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทย ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย 4 ชนิด ซึ่งประกอบด้วย ตรานกยูงพระราชทาน สีทอง (Royal Thai Silk) สีเงิน (Classic Thai Silk) สีน้ำเงิน (Thai Silk) และสีเขียว (Thai Silk Blend)
ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk)
ตรานกยูงพระราชทานสีทอง (Royal Thai Silk) เป็นผ้าไหมที่ผลิตโดยใช้เส้นไหมและวัตถุดิบตลอดจนกระบวนการผลิตที่เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยอย่างแท้จริงดังนี้
- ใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน – เส้นไหมสาวด้วยมือลงภาชนะ
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
- ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านที่พุ่งกระสวยด้วยมือ -มีความสม่ําเสมอของสี ลวดลาย และเนื้อผ้า
- ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
- อาจตกแต่งด้วยเส้นเงิน หรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20 ส่วนผ้ายก ผ้าจก ผ้าขัด ตกแต่งด้วยเส้นเงินหรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 50
ตรานกยูงพระราชทานสีเงิน (Classic Thai Silk)
ตรานกยูงพระราชทานสีเงิน (Classic Thai Silk) เป็นผ้าไหมที่ผลิตขึ้นโดยยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการประยุกต์ใช้เครื่องมือและกระบวนการผลิตในบางขั้นตอนดังนี้
- ใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านหรือพันธุ์ไทยปรับปรุงเป็นเส้นพุ่งและ/หรือเส้นยืน
- สาวด้วยมือหรือเครื่องจักรที่มีกําลังไม่เกิน 5 แรงม้า
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
- ทอด้วย ทอมือ
- มีความสม่ําเสมอของสี ลวดลาย และเนื้อผ้า
- ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
- อาจตกแต่งด้วยเส้นเงิน หรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20
- ส่วนผ้ายก ผ้าจก ผ้าขิด ตกแต่งด้วยเส้นเงินหรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 50
ตรานกยูงพระราชทานสีน้ําเงิน (Thai Silk)
ตรานกยูงพระราชทานสีน้ําเงิน (Thai Silk) เป็นผ้าไหมชนิดที่ผลิตด้วยภูมิปัญญาของไทยแบบประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการผลิตเข้ากับสมัยนิยมและเชิงธุรกิจ ขั้นตอนหลักประกอบด้วย
- ใช้เส้นไหมแท้ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน
- ไม่กําหนดการสาวและวิธีการทอ
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
- มีความสม่ําเสมอของ สวดลาย และเนื้อผ้า – ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
- อาจตกแต่งด้วยเส้นเงิน หรือเส้นทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 20
- ส่วนผ้ายก ผ้าจก ผ้าด ตกแต่งด้วยเส้นเงินหรือเงินทองที่ได้มาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 50
ตรานกยูงพระราชทานสีเขียว (Thai Silk Blend)
ตรานกยูงพระราชทานสีเขียว (Thai Silk Blend) เป็นผ้าไหมที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิตเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผสมผสานกับภูมิปัญญาไทยในด้านลวดลายและสีสัน ระหว่างเส้นใยไหมแท้กับเส้นใยอื่นที่มาจากธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์รูปแบบต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน หรือ ตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้
- ใช้เส้นไหมแท้เป็นส่วนประกอบหลักมีเส้นใยชนิดอื่นเป็นส่วนประกอบรอง
- ต้องระบุส่วนประกอบของเส้นไทยแท้และเส้นใยชนิดอื่นเป็นเปอร์เซ็นต์ให้ชัดเจน
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติหรือสีเคมีที่ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
- ไม่กําหนด การผลิต
- มีความสม่ําเสมอของสี ลวดลาย และเนื้อผ้า
- ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
- อาจมีการตกแต่งด้วยวัสดุอิน
ซึ่งขณะนี้ได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในต่างประเทศแล้วกว่า 15 ประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป จํานวน 27 ประเทศ รวมถึง จีน นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อังกฤษ อินเดีย ส่องกง
สรุป
ตรานกยูงพระราชทานทั้ง 4 แบบ ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ประทับอยู่บนผืนผ้าไหมเพื่อเป็นการรับรองถึงคุณภาพและให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ผู้บริโภคควรหมั่นตรวจสอบเครื่องหมายรับรองเหล่านี้ก่อนสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม เพื่อให้คุณความมั่นใจถึงคุณภาพของผ้าไหมที่จะได้รับ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมผ้าไหมไทยให้ยั่งยืนอีกด้วย
ขอบคุณแหล่งที่มา:ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯสุรินทร์, หนังสือเฉลิมราชพัสตรา