การทอผ้ายก

การทอผ้ายกเป็นศิลปะและภูมิปัญญาอันน่าทึ่งของไทยที่มีเอกลักษณ์และความสวยงามที่ไม่เหมือนใคร ในบทความนี้เราจะไปค้นพบเทคนิคและความสวยงามของผ้ายก รวมถึงประวัติและความสำคัญของผ้ายกในวัฒนธรรมไทย

ผ้ายก

การทอผ้ายกเป็นภูมิปัญญาที่น่าทึ่งในการเพิ่มลวดลายให้กับเนื้อผ้าให้ดูสวยงามและน่าทึ่งมากขึ้น มันมีเทคนิคในการทอที่คล้ายคลึงกับการทอผ้าขิด อย่างไรก็ตาม หากต้องการลวดลายตกแต่งที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน การทอผ้ายกต้องใช้ความประณีตในการทอเป็นอย่างมาก (เพยาว์ อุ่นศิริ และคณะ, 2531 : 31) ผ้ายกมีราคาที่สูงกว่าเพราะความซับซ้อนในการทอ จึงนิยมใช้ในโอกาสที่สำคัญและพิเศษเท่านั้น

ลวดลายของผ้ายกเกิดจากกระบวนการทอที่ไม่เรียบเนียน มีเส้นด้ายที่ขึ้นอยู่ เรียกว่า “เส้นยก” และเส้นด้ายที่ลงอยู่เรียกว่า “เส้นข่ม” ขณะที่เกิดการทอพุ่งกระสวยระหว่างเส้นยกและเส้นข่ม จะสร้างลวดลายนูนที่ปรากฏบนพื้นผ้า ลวดลายนี้สามารถใช้เส้นไหมหรือเส้นเงินเส้นทองในกระบวนการยกได้ ถ้าทอยกด้วยไหมเรียกว่า “ยกไหม” แต่ถ้าใช้เส้นทองในกระบวนการยกเรียกว่า “ยกทอง” และเส้นเงินเรียกว่า “ยกเงิน” (จิรา จงกล, 2525 : 280)

การทอผ้ายก

ในอดีตที่ภาคอีสาน มีการใช้เทคนิคการทอผ้ายกด้วยการตะกอและการทอสอดสีเกสร รวมถึงการใช้เทคนิคการจกและการทอแยกแบ่งช่วงสีสันขอบผ้ากับท้องผ้าด้วยเทคนิคเกาะล้วง (Tapestry) หรือมัดหมี่แบ่งแยก ช่วงสีพื้นส่วนท้องผ้าออกจากขอบผ้า ตัวอย่างผ้ายกสุรินทร์เป็นต้น เมื่อเริ่มต้นทอแล้ว ผู้ทอใช้เส้นไหมในกระบวนการทอเพื่อเป็นผ้าซิ่น โดยนิยมลวดลายด้วยตะกอประมาณ 12 – 30 ตะกอ โดยส่วนใหญ่เป็นลายดอกพิกุลและลายผกาจันทร์ โครงสร้างของลวดลายมักมีความหลากหลายในเรื่องของชายและเชิง ส่วนสีสันนิยมใช้เทคนิคโครงสีเดียว (Mono-Tone)

ผ้าเยียรบับลาว

ในปีพ.ศ. 2543 กลุ่มจันทรโสมาบ้านท่าสว่างได้รับการก่อตั้งโดย ดร.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ซึ่งมีปณิธานที่จะฟื้นฟูรูปแบบการทอผ้ายกแบบราชสำนักสยามที่สูญหายไป โดยคืบควบคุมกระบวนการทอที่มีลวดลายหลายสีที่สวยงามและอันวิจิตร โดยใช้เทคนิคการตะกอจำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องต่อเสาเครื่องทอผ้าสูงขึ้นเพื่อแขวนแผงตะกอที่มีจำนวนหลายร้อยตะกอ ผ้ายกชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์แดนอีสานที่รัชกาลที่ 5 ประเทศไทยคือ “ผ้าเยียรบับลาว” ที่มาจากจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งยังคงรักษาความเป็นศิลปะอันไร้วันตาและสำคัญอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูและสืบทอดศิลปะการทอผ้ายกนี้ได้ถูกดูแลและรักษาไว้อย่างดีโดยคุณแม่คําปุน ศรีใส และคุณมีชัย แต้สุจริยา จนก่อตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมบ้านคําปุนฃ

ขอบคุณแหล่งที่มา:หนังสือมรดกภูมิปัญญา สิ่งทออีสาน

อ้างอิง:https://www.chobmai.com/article/120/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9