วัฒนธรรมและการแต่งกายของชาวอีสานนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจและดูแปลกตาเมื่อเทียบกับภาคอื่นของประเทศไทย ซึ่งหนึ่งในลักษณะเฉพาะที่ทำให้ภาคอีสานเด่นชัดก็คือ “การนุ่งโสร่ง” ที่เป็นการแต่งกายของผู้ชายในภาคอีสาน ในบทความนี้เราจะศึกษาวิธีการนุ่งโสร่งในภาคอีสานและความแตกต่างระหว่างผ้าโสร่งและผ้าซิ่นในวัฒนธรรมอีสาน
การนุ่งโสร่งในภาคอีสาน
การนุ่งโสร่งเป็นวิธีการแต่งกายที่นิยมในภาคอีสานและมีลักษณะเฉพาะ โดยการนุ่งโสร่งนี้มาจากการรับอิทธิพลจากผ้าลุงกี้ (Lungi) ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายมีลายตารางคล้ายกัน แต่ในวัฒนธรรมของอีสานจะใช้สิ่งดังกล่าวแต่ทอด้วยเส้นใยไหมที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในด้านวัสดุ ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับผ้าลุงกี้ของอินเดีย
เอกลักษณ์และประโยชน์ของผ้าโสร่งไหม
ในวัฒนธรรมอีสาน ผ้าโสร่งไหมมักถูกใช้เป็นเสื้อผ้าในงานบุญและพิธีพิเศษสำหรับคนทั่วไป และสำหรับคนมีฐานะหรือครอบครัวค่อนข้างกลุ่มบริษัท ซึ่งการนุ่งโสร่งมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดวัฒนธรรมให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภูมิภาคอีสาน แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์จะมีการออกแบบสีสันที่แตกต่างกันไป ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่น่าสนใจ
ตัวอย่างเช่น กลุ่มชาวภูไทในบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์จะนิยมทอผ้าโสร่งสีเข้มคล้ายกับสีที่ใช้ย้อมผ้าซิ่นมัดหมี่ของผู้หญิง ในขณะที่กลุ่มชาวกูย (ส่วย) ในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์จะนิยมทอผ้าโสร่งสีสดใส ที่ใช้สีแดงอมส้มนำ ตัดด้วยสีเขียว ซึ่งเรียกสีแบบนี้ว่า สีโทนน้ำหมาก นอกจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มยังมีเครื่องหมายและลวดลายที่แตกต่างกันไป แสดงถึงความหลากหลายและสร้างเอกลักษณ์ที่น่ายื่นให้กับภาคอีสาน
วิธีการนุ่งโสร่งในชีวิตประจำวัน
วิธีการนุ่งโสร่งนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ คือ นุ่งทางการและนุ่งในชีวิตประจำวัน ในกรณีของการนุ่งทางการ ชาวอีสานมักนั่งแบบ “นุ่งป้ายทบจีบด้านหน้า” โดยใช้เข็มขัดเงินหรือโลหะอื่นคาดเอวให้เรียบร้อย ส่วนการนุ่งในชีวิตประจำวันจะเป็นการนั่งแบบ “นั่งทบทั้งสองด้านแล้วผูกปมตรงกลาง” ที่สามารถถอดได้สะดวกกว่าในกรณีที่ต้องเข้าห้องน้ำหรือการทำงานทั่วไป ทำให้ง่ายต่อการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นวิธีการที่แสดงถึงความทันสมัยและสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลกับเข็มขัดในการรัดเอวด้วย
ความแตกต่างของผ้าโสร่งและผ้าซิ่น
ในวัฒนธรรมของชาวอีสาน มีการแยกแยะระหว่างผ้าโสร่งและผ้าซิ่นในการแต่งกาย ซึ่งสำหรับฝ่ายชายจะนิยมใช้ผ้าโสร่งในขณะที่ฝ่ายหญิงจะนิยมใช้ผ้าซิ่น การแยกแบบนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ในบางพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานีนั้น มีประเพณีการแต่งกายสลับเพศ โดยให้ผู้หญิงนุ่งผ้าโสร่งแทนชาย และผู้ชายนุ่งผ้าซิ่นแทนหญิง เพื่อทำให้พญาแถนบนฟ้าประหลาดใจและประทานฝนให้ตกลงมา ประเพณีนี้ส่งผลให้ผ้าโสร่งและผ้าซิ่นมีความสำคัญและมีค่าในสังคมของชาวอีสาน
ขอบคุณแหล่งที่มา: หนังสือมรดกภูมิปัญญา สิ่งทออีสาน
ขอบคุณเครดิตภาพจาก กลุ่มอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน, อาจารย์อดิศักดิ์ สาศิริ