จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งแต่ละกลุ่มเชื้อชาติต่างก็ได้สืบสานประเพณีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมาตั้งแต่โบราณ ดังที่ปรากฏข้อมูลหลักฐานวิธีการทอผ้าไหม ลวดลายบนผืนผ้าของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ มีได้แก่ กลุ่มเชื้อชาติไทย-ลาว ซึ่งคนกลุ่มนี้นิยมทอผ้าด้วยวิธีการมัดหมี่และขิด กลุ่มเชื้อชาติภูไทนิยมทอผ้าด้วยการขิด และกลุ่มเชื้อชาติไทย-เขมร ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของจังหวัดและยังคงผลิตผ้าไหมอยู่ในปัจจุบันจะนิยมทอผ้าไหมมัดหมี่ หรือที่ชาวสุรินทร์เรียกว่า“ผ้าโฮล”
“ผ้าโฮล” เป็นผ้าไหมมัดหมี่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์ และยังถือเป็นลายเอกลักษณ์ของลายผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดสุรินทร์ คําว่า “โฮล” เป็นภาษาเขมร โดยเป็น ชื่อเรียกกรรมวิธีการผลิตผ้าไหมประเภทหนึ่งที่สร้าง ลวดลายขึ้นมาจากกระบวนการมัดย้อมเส้นไหมให้เกิดสีสันและลวดลายต่างๆ ก่อน แล้วนํามาทอเป็นผืนผ้าซึ่งตรงกับคําว่า “ผ้าปูม” ในภาษาไทย “มัดหมี่” ในภาษาลาวและคําว่า IKAT (อิ-กัด) ในภาษา อินโดนีเซีย-มาลายู แต่ชาวตะวันตกส่วนใหญ่รู้จัก ผ้ามัดหมี่ของมาเลย์-อินโดนีเซีย จึงเรียก IKAT ตามไปด้วย
คําว่า “โฮล” ในภาษาเขมรสุรินทร์สมัยหลังได้จํากัดความให้มีความหมายแคบลงมาอีก โดยใช้เรียกเฉพาะเจาะจงถึงผ้านุ่งที่สร้างจากกระบวนการมัดย้อมเส้นพุ่ง แล้วนํามาทอให้เกิดลวดลายต่างๆ มีกรอบมีเชิงแบบผ้าปูมของขุนนางในราชสํานักสยาม สําหรับให้บุรุษนุ่ง เรียกว่า “โฮลเปราะฮ์” และทอเป็น ลายริ้วให้สตรีใช้นุ่ง เรียกว่า “โฮลเสรีย” อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “โฮลเปราะฮ์” (โฮลสําหรับผู้ชายนุ่ง) แทบหาคนผลิตไม่ได้และไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง อีกต่อไป ดังนั้น คําว่า “โฮล” ในปัจจุบันนี้ จึงมีความ หมายเจาะจงถึง “โฮลเสรีย” (โฮลสตรี) เท่านั้น ทั้งนี้ คําเรียก “โฮลแสร็ย” (โฮลสตรี) นี้ในภาษาเขมร สุรินทร์ก็ได้เรียกปลีกย่อยออกไปอีกหลายอย่าง เช่น โฮลปันเตื๊อด (บรรทัด) โฮลปะนะ โฮลอันลูย เป็นต้น
“โฮลเปราะฮ์” (ลายโฮลผู้ชาย) ในบริเวณพื้นที่อีสานใต้นี้ จะมีลวดลายและสีสันต่างๆ กัน โดยใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบนของผู้ชายในสมัยโบราณเรียกว่า “ผ้าปูมเขมร” เป็นผ้าขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ 4 หลา (3.60 เมตร) ซึ่งราชสํานักใช้เป็นผ้า พระราชทานให้กับข้าราชบริพารตามยศและตําแหน่ง เพื่อให้ขุนนางนุ่งเป็นโจงกระเบน มีลักษณะเป็น ผ้าขนาดใหญ่กว้างยาวมาก คล้ายผ้าปาโตลาของ อินเดีย อาทิ ผ้าสมปักปูม ผ้าสมปักกรวยเชิง สําหรับ ข้าราชการชั้นสูง ผ้าสมปักริ้ว ผ้าสมปักลาย สําหรับข้าราชการระดับเจ้ากรมและปลัดกรม ผ้าสมปักล่องจวนที่มีพื้นที่สีขาวสําหรับพราหมณ์นุ่ง (ยกเลิกไป ในสมัยรัชกาลที่ 5) ส่วนลายนิยมมัดย้อมเพื่อทอนั้น ได้แก่ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายก้านแย่ง ลายนาคเกี่ยว และลายอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อทอเสร็จจะเป็นผ้า ที่งดงามมาก
ลักษณะพิเศษหรือเอกลักษณ์ของ “โฮลเปราะฮ์” จะมีลายหลากหลายออกไป เช่น ผ้าโบราณโฮลเปราะฮ์ ปะกากะตึง (คือลายท้องผ้า) สมัยโบราณผ้าโฮลเปราะฮ์ จะมีผ้าหน้านางหรือเรียกว่า “ผ้าปูม” “สมปักปูม” เรียกเป็นทางการว่า “สมปักปูม” และผ้าโฮลเปราะฮ์ นี้มีไว้สําหรับผู้ชายนุ่ง ผู้หญิงนุ่งไม่ได้ ใช้ในพิธีแต่งงานสําหรับให้เจ้าบ่าวนุ่งก่อนพิธีแต่งงาน ใช้นุ่งในพิธีบวชนาค และห่มบายศรี ปัจจุบันมีการพัฒนาลายประยุกต์ ขึ้นมาใหม่แต่ก็เป็นลายโฮลเปราะฮ์อยู่โดยเป็นลายผ้าเดียวกัน แต่ทอขึ้นมาใหม่ ขนาดความยาวของผ้า ๓ เมตรครึ่ง และกว้าง 90 เซนติเมตร
“โฮลแสรีย” (ลายโฮลผู้หญิง) เป็นผ้ามัดหมี่ ที่เกิดจากการมัดหมี่ลวดลายเดียวกันกับ “โฮลเปราะฮ์” แต่เมื่อนํามาทอจะใช้วิธีการดึงลายให้เกิดลวดลาย อีกแบบหนึ่งและเพิ่มองค์ประกอบของลวดลายเข้าไปคือ มีลายสายฝน หางกระรอกและคั่นด้วยเส้นพื้นสีแดงครั่ง เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากลาย “โฮลเปราะฮ์” เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผ้า คือ บริเวณริมผ้าจะมีเส้นสันนูนขนานไปกันทั้งสองด้านในทิศของแนวเส้นพุ่งอันเนื่องจากการจัดลวดลายแล้วม้วนเส้นไหมที่เหลือสอดเข้าในช่องว่างของเส้นยืน จากนั้นทอทับ ทําให้ริมผ้าของผ้ามัดหมี่สุรินทร์ มีความหนาและแข็งแรงในการค้นลํามัดหมี่ มัดหมี่โฮลแต่ละลําจะเป็นอิสระต่อกัน การทอจะใช้เทคนิคการทอพิเศษโดยการทอผ้าให้ลายเฉียงขึ้น เรียกว่า “ปะนะ” การมัดย้อม จะนิยมใช้สีธรรมชาติและมัดย้อมหลายครั้ง มีความละเอียดทุกขั้นตอน
สําหรับการย้อมสีผ้าโฮล มีความ เชื่อว่าจะต้องให้ครูทอผ้ามาสอนวิธีการย้อมเสียก่อน เพราะถือกันว่าเป็นผ้าครูที่จะต้องผ่านกระบวนการ ครอบครูก่อน ส่วนสีสันที่ย้อมเส้นไหมจะนิยมใช้ สีธรรมชาติที่แสดงเอกลักษณ์ของพื้นถิ่น สีหลักบนพื้นผ้าเป็นสีแดงเข้มที่ย้อมมาจากครั่ง ผสมผสาน ด้วยสีย้อมธรรมชาติอื่นๆ ทั้งหมด 3 สี ได้แก่ เหลือง แดง น้ําเงิน มาผสมให้ได้ 5 สี คือ เหลือง แดง น้ําเงิน ม่วง (จากการผสมน้ําเงินกับแดง) และ เขียว (จากการผสมเหลืองกับน้ําเงิน) โดยย้อมสีแดงที่ได้จาก ครั่งเป็นอันดับแรก ตามด้วยสีเหลืองจากแก่นเขหรือ แกแล และย้อมสีน้ําเงินด้วยครามเป็นลําดับสุดท้าย ในบางครั้งอาจจะมีการใช้สีย้อมธรรมชาติอื่น ๆ ที่พบได้ในท้องที่ เช่น สีดําได้จากผลมะเกลือ สีเขียว เหลืองได้จากเปลือกประโหด ส่วนใหญ่เนื้อผ้าด้านหนึ่ง มักเป็นสีอ่อน อีกด้านหนึ่งเป็นสีเข้มกว่า อันเนื่องมา จากการใช้ลายขัด 3 ตะกอ ในการทอ ไม่ได้ทอด้วย ลายขัด 2 ตะกอแบบทั่วไป
“ผ้าโฮล” มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น คือ นิยมใช้เส้นไหมน้อยที่มีขนาดเล็กละเอียดในการทอ โดยใช้ฟืมหรือฟันหวี 42 นิ้ว เป็นผ้ามัดหมี่ 3 ตะกอ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์ลายผ้า ด้วยการมัดหมีในครั้งเดียว มีการมัดย้อมเส้นพุ่ง ด้วยวิธีการเฉพาะเรียกว่า จนองโฮล โดยการมัดหมี่ผ้าโฮล นิยมมัดหมี่ 21 ลํา ซึ่งการมัดหมี่เพียงหนึ่งลาย 2 ลายสามารถทอได้ถึง 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ ผ้าโฮลเปราะฮ์ (ลายโฮลผู้ชาย) ผ้าโฮลแสร็ย (ลายโฮลธรรมดาหรือ โฮลผู้หญิง) ผ้าโฮลเกียรติและผ้าโฮลปะนะ ซึ่งรูปแบบ ลายมัดหมี่โฮลเหมือนสายน้ำไหล ทั้งนี้ ตามภาษาท้องถิ่นนั้น คําว่า “โฮล” แปลว่า น้ำไหล ลายของ ผืนผ้าจะมีลักษณะเป็นลายริ้ว คล้ายก้านไผ่และใบไผ่คั่นด้วยเส้นไหมหางกระรอก อันมีความหมายว่าความกลมเกลียวในหมู่คณะ
กระบวนการผลิตในขั้นตอนการออกแบบลวดลาย มีลักษณะดังนี้
- การมัดหมี่ตามแบบปันเดือด (แบบบรรทัด)เ ป็นแบบที่มัดไว้ของแต่ละตระกูลที่ทําไว้ให้สืบทอด กันมา เป็นการมัดหมี่แบบดั้งเดิม จะนิยมมัดหมี่ไว้ เพื่อเป็นต้นแบบ ในการมัดหมี่นําเส้นไหมที่ทําการค้นเตรียมไว้ไปใส่ในอุปกรณ์ที่เรียกว่า “โฮงหมี่” เพื่อที่จะทําการมัดหมี่ให้เป็นไปตามลวดลายที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งสมัยก่อนจะใช้กาบกล้วยแห้งมัด ปัจจุบันจะใช้เชือกฟางในการมัด วิธีการมัดจะเริ่มมัดทีละ 1 ลําตามลําต้นแบบ จนถึงลําสุดท้าย หรือเริ่มมัดจากลําสุดท้ายถึงลําที่ 1 ขนาดของจํานวนลํา จะขึ้นอยู่กับขนาดของลาย
- การออกแบบลวดลายผ้าไหมบนกระดาษ กราฟ จะทําให้เกิดลวดลายที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมีความนิยมกันแพร่หลาย เพราะทําให้มัดหมี่ง่ายและรวดเร็ว
- การออกแบบลายโดยวิธีการจดจํา วิธีนี้ จะไม่มีแบบให้ดู แต่จะอาศัยความจําและความชํานาญ ในการมัดหมี่ เช่น ที่บ้านม่วงสวรรค์ ตําบลไพลขา อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และบ้านระไซร์ ตําบลตั้งใจ อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ขั้น
ตอนการมัดโฮลเปราะฮ์ ประกอบด้วย
- การเตรียมเส้นไหมสีขาว นํามากวักใส่อัก และนํามาตวงให้เป็นลำ จํานวน 21 ลำ
- การมัดเส้นไหม เมื่อตวงเป็นลําเสร็จแล้ว นําไหมในแต่ละลำมามัดด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกฟางให้แน่น ความห่างของแต่ละมัดจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับช่างทอว่าต้องการมัดแบบไหน
ขั้นตอนการย้อมเส้นไหมโฮลเปราะฮ์ ประกอบด้วย
- การย้อมครั้งที่ 1 เริ่มจากการย้อมสีแดง ซึ่งสีแดงได้มาจากการใช้ครั่งในการย้อมหลังจากต้มย้อมเสร็จแล้ว จะนําไหมขึ้นมาตากแดดให้แห้ง แล้วนํามาตัดเชือกฟางที่มัดออกและมัดทับสีแดงที่ย้อมแล้ว
- การย้อมครั้งที่ 2 ให้แกะเชือกมัดออกตรงที่อยากได้เป็นสีเหลือง ส่วนสีขาวและน้ำเงิน ไม่ต้อง แกะเชือกออก เมื่อแกะเชือกออกตามจุดที่ต้องการแล้ว ให้นํามาต้มกับเปลือกประหูดหรือเข หลังจาก นั้นจึงนําไปตากแดดให้แห้งแล้วมาโอบหรือมัดตรงที่อยากได้สีเหลืองเก็บไว้ในส่วนของสีเขียวไม่ต้องโอบหรือมัดเหลืองให้ปล่อยเหลืองไว้
- การย้อมครั้งที่ 3 จะย้อมสีครามหรือ สีนํ้าเงิน วัสดุที่ต้องใช้ในการย้อมได้จากคราม ให้แกะมัดเชือกออกตรงสีขาวที่อยากได้สีน้ำเงินหรือคราม แล้วนําไหมลงย้อมก็จะได้สีน้ําเงินหรือคราม ตามที่ต้องการ
- สีเขียว การย้อมสีเขียว เมื่อไหมสีเหลือง นํามาย้อมกับคราม ก็จะออกมาเป็นสีเขียว
- สีดํา การย้อมสีดา เมื่อไหมสีแดงนํามาย้อม กับคราม จะได้เป็นสีตา
- การล้างไหม เมื่อได้ไหมที่ย้อมเสร็จแล้ว นํามาตัดเชือกกล้วยหรือเชือกฟางออกทั้งหมด
แล้วเอาไปตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นนําไหมไปล้าง ในสารส้มประมาณ 1 นาที แล้วจึงนําไปตากให้แห้ง กับราวไม้ - นําเส้นไหมมากวักใส่อัก เมื่อนําเส้นไหม ที่ตากแห้งแล้วมาขึงเข้ากับระวึง แล้วนํามากวักใส่อัก จากนั้นจึงนํามากรอใส่หลอด เพื่อเตรียมไว้ทอต่อไป
ปัจจุบันผ้าไหมสุรินทร์นิยมนํามาให้ลูกชายนุ่งในพิธีบวชนาคหรือใช้สําหรับ รับไหว้ปู่ย่าในพิธีแต่งงาน รวมถึงมีความโดดเด่นทั้งด้านคุณภาพ คือ ความคงทนความเป็นเงางามของเส้นไหม เนื้อผ้าละเอียดนุ่มทอด้วยฝีมือประณีต สีไม่ตก และด้านสุนทรียภาพ คือความงามจากลวดลายที่มีการจัดวาง องค์ประกอบที่ประสานสัมพันธ์กันระหว่างโครงสร้างสีที่กลมกลืนกับลวดลายธรรมชาติ มีการตัดทอนอย่างลงตัว สอดคล้องกับรูปแบบของผ้า ลวดลายเหล่านี้มีความ ละเอียดซับซ้อน สวยงามและถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์ ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้ผ้าโฮลสุรินทร์เป็น ผลงานหัตถกรรมผ้าไหมทอมือที่สําคัญอย่างยิ่งยวดของชาวบ้าน
ขอบคุณแห่งที่มา: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม